วิธีเลือกกล้อง มือใหม่ที่สนใจกล้องโปรต้องดูอะไรบ้าง
เวลาจะเลือกซื้อกล้องสักหนึ่งตัวเราควรพิจารณาอะไรบ้าง ? ในบทความนี้เราได้รวบรวมสิ่งสำคัญในการเลือกกล้องแบบต่าง ๆ ที่จะช่วยให้คุณสามารถเลือกซื้อกล้องได้คุ้มค่าและตรงกับความต้องการที่สุด มาดูกันว่า วิธีเลือกกล้อง DSLR, Mirrorless หรือกล้องดิจิตอลขนาดเล็ก นั้นควรพิจารณาอะไรบ้าง
หากคุณมีต้องการจะถ่ายรูปให้ได้ผลงานออกมาหลากหลายและงดงามใกล้เคียงกับผลงานของมืออาชีพ แน่นอนว่าการถ่ายรูปด้วยกล้องในสมาร์ทโฟนนั้นไม่เพียงพออย่างแน่นอน และกล้องถ่ายรูปดิจิตอลก็เป็นเหมือน “ของที่ต้องมี” สำหรับคุณ
แต่จะเลือกกล้องที่เหมาะกับคุณอย่างไร เพราะในตลาดเต็มไปด้วยกล้องถ่ายรูปมากมายมีตั้งแต่ชนิด “point and shoot” หรือเล็งแล้วยิงเลยเช่นเดียวกับสมาร์ทโฟนราคาพันนิด ๆ ไปจนถึงกล้องโปรราคาหลักแสน บทความนี้มีข้อคิดในการเลือกซื้อกล้องมาฝาก
เพื่อป้องกันความสับสนเมื่อไปเลือกซื้อกล้อง สิ่งที่ง่ายที่สุดก็คือ ตั้งเงื่อนไขเสียก่อนว่าต้องการกล้องแนวไหน ซึ่งวิธีการตั้งเงื่อนไขก็มีตั้งแต่ งบที่คุณมีอยู่ ความจริงจังในการใช้งานซึ่งอาจมีตั้งแต่ระดับงานอดิเรกที่จริงจัง ไปจนถึงแผนการที่จะพัฒนาตัวเองขึ้นไปเป็นช่างภาพอาชีพในอนาคต
แม้คุณจะมีงบประมาณจำกัด แต่หากว่ามีความฝันอยากจะเป็นช่างภาพ มันก็อาจจำเป็นที่จะต้องมองกล้องที่มีคุณภาพสูงในระดับหนึ่งที่ให้ภาพที่มีคุณภาพเพียงพอที่จะทำเชิงพาณิชย์ได้ ดังนั้นการเลือกซื้อกล้องมือสองก็เป็นทางเลือกหนึ่ง แต่อาจจะต้องระมัดระวังมากขึ้นกว่าการซื้อกล้องใหม่
ในทางกลับกันถ้าคุณต้องการเพียงแค่ถ่ายภาพสำหรับโพสต์ลงบน Instagram หรือ Facebook กล้องมือถือก็น่าจะเพียงพอ หรืออาจจะเป็นแบบคอมแพ็ค/พอยท์ แอนด์ ชูท แต่ถ้าต้องการมากกว่านั้น ก็ต้องมองหากล้อง DSLR และ Mirrorless ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นคุณควรพิจารณาสิ่งต่อไปนี้เพิ่มเติมในการเลือกซื้อ
กล้องถ่ายรูปนั้นก็เหมือนสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ที่เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจกลไกทำงานขั้นพื้นฐาน ศึกษาข้อดีและข้อด้อยเพื่อการตัดสินใจ ถึงแม้จะมีกล้องหลากหลายประเภทในปัจจุบัน เราสามารถแบ่งกล้องได้เป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่
• กล้องคอมแพ็ค หลายคนอาจเคยเรียกกล้องเหล่านี้ว่า “กล้องสำหรับมือใหม่” แต่ปัจจุบันพวกมันได้พัฒนาห่างไกลคำว่ามือใหม่มาอย่างมาก ข้อดีของกล้องประเภทนี้ คือ รูปร่างที่กะทัดรัดพกพาสะดวก มีโหมดถ่ายภาพที่มีหลากหลาย เลนส์ติดกล้องที่ซูมเข้าออกได้ ซึ่งโดยรวมแล้วมีความสามารถมากกว่ากล้องของสมาร์ทโฟนอย่างมาก
• กล้อง DSLR ซึ่งย่อมากจาก Digital single-lens reflex เป็นกล้องที่พัฒนามาจากกล้องถ่ายภาพฟิล์มแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า SLR ชื่อของกล้องชนิดนี้บอกหลักการทำงาน คือ มันจะใช้กระจกเพื่อสะท้อนแสงจากเลนส์ไปยังปริซึมบนกะโหลกกล้องแล้วสะท้อนต่อไปยังช่องมองภาพ เมื่อกดชัตเตอร์ กระจกสะท้อนภาพจะพับปิด แสงวิ่งเข้าไปยังเซนเซอร์รับภาพ หรือแต่เดิมฉายลงบนฟิล์ม ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้กล้องจะเห็นภาพก่อนที่จะบันทึกลงเซ็นเซอร์ ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะไม่ตรงกับที่เห็นทีแรก
• กล้องมิเรอร์เลส (Mirrorless) พัฒนาต่อมาจากกล้อง DSLR โดยนำกระจกสะท้อนภาพและปริซึมออกไปจากระบบ แสงที่ผ่านเลนส์เข้ามานั้นจะตกกระทบลงบนตัวเซนเซอร์และจะมีจอภาพขนาดเล็กติดตั้งลงไปเพื่อเลียนแบบช่องมองภาพแบบเดิม สิ่งที่แตกต่างจากกล้อง DSLR ก็คือภาพที่เห็นจากทั้ง LCD และช่องมองภาพ จะใกล้เคียงกับภาพที่ได้จากการกดชัตเตอร์มากที่สุด เพราะนอกจากมุมที่มองเห็น กล้องยังจำลองสภาพแสง อุณหภูมิแสงรวมไว้ให้เราแล้วด้วย
หากว่าคุณดูคุณสมบัติของกล้องจากที่ผู้ขายให้มา คุณอาจจะเห็นว่ากล้องพอยท์ แอนด์ ชูท และ DSLR ในบางกรณีมีขนาดพิกเซลที่ใกล้เคียงกันหรือบางครั้งมากกว่า อย่างเช่น ตัวเลข 16 ล้านพิกเซล (16 MP) หรือ 20 ล้าน (20 MP) ที่เขียนเอาไว้
แต่ตัวตัดสินประสิทธิภาพที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ขนาดของเซ็นเซอร์ เพราะมันจะมีผลต่อคุณภาพของภาพมากกว่าจำนวนของพิกเซลที่ผู้ผลิตพยายามโฆษณาตอยู่ตลอดเวลา ขนาดของเซ็นเซอร์ที่ใหญ่กว่าจะทำให้ได้รับแสงได้มากกว่า ทำให้มีโอกาสน้อยกว่าที่จะเกิดนอยส์ (Noise) หรือสัญญาณรบกวนที่เซ็นเซอร์ ทำให้เกิดเป็นจุด ๆ ที่ภาพ เมื่อถ่ายในที่ที่มีแสงน้อย และยังให้สีและคอนทราสต์ที่ดีกว่าอีกด้วย
การมีพิกเซลมาก ๆ นั้นไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปเสียทั้งหมด เพราะการมีพิกเซลยิ่งมากก็จะทำเก็บรายละเอียดของภาพได้ดีขึ้น ภาพที่ครอปแล้วก็ยังคงมีคุณภาพดี และยังสามารถนำเอาไปพรินท์เป็นภาพใหญ่ได้ แต่ข้อควรคำนึง คือ กล้องพอยท์ แอนด์ ชูท ที่แม้จะมีพิกเซลมากกว่า DSLR แต่มีเซ็นเซอร์ที่เล็กกว่า คุณภาพของภาพก็จะด้อยกว่าอยู่ดี
สำหรับกล้องพอยท์ แอนด์ ชูท ซึ่งมีเลนส์ติดกล้องมาแล้ว บรรดาผู้ผลิตมักจะโฆษณาว่าคุณจะสามารถซูมได้ไกลมหาศาลเพียงไร อย่างเช่น 80x หมายความว่าซูมได้ 80 เท่า ดึงสิ่งที่อยู่ไกลอย่างเช่น ดวงจันทร์ดวงโตเห็นรายละเอียดชัดเจนได้
แต่นั่นคือสิ่งที่คุณควรต้องระวังให้มาก เพราะยิ่งใช้ดิจิตอลซูมมากเท่าใด คุณภาพของภาพก็จะลดลง เพราะว่าระบบดิจิตอลซูมก็คือการครอป (ตัดภาพณ. จุดใดจุดหนึ่งของภาพใหญ่) แล้วใช้ระบบประมวลผลของกล้องขยายภาพขึ้นมาให้เท่ากับปกติ ซึ่งจะทำให้ภาพไม่คมชัด แต่จะมากน้อยเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของหน่วยประมวลผลด้วย
มีกล้องพอยท์ แอนด์ ชูท ไม่น้อยที่โฆษณาว่าเป็น “ออพติคอล ซูม” หรือการซูมที่เกิดจากความสามารถของเลนส์อย่างแท้จริง ซึ่งให้คุณภาพดีกว่าดิจิตอลซูม นี่ก็เป็นอีกข้อที่คุณควรระวัง เพราะกล้องที่โฆษณาว่าซูมได้เยอะๆ แต่เลนส์ตัวเล็กและแบน ต้องสงสัยไว้เลยว่ามันอาจคือดิจิตอลซูม การทดสอบก็คือถ่ายระยะไกล ๆ แล้วขยายดูภาพ ถ้าขยายดูภาพที่ 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว ไม่คมชัดอย่างแรง ก็เลือกตัวอื่นที่ให้ความคมชัดมากกว่า
การโฟกัสได้เร็ว สามารถถ่ายภาพต่อเนื่องได้ หรือจับภาพขณะเคลื่อนไหวเร็ว ได้ เป็นคุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งที่คุณควรให้ความสำคัญ เราแนะนำให้มองกล้องที่มีความเร็วในการถ่ายอย่างน้อย 5 เฟรมต่อวินาที (fps) แต่หากว่าอยากจะถ่ายภาพที่มีการเคลื่อนไหวเร็ว ๆ เช่น ขณะวิ่งหรือเล่นกีฬา ก็ควรจะมองหารุ่นที่เร็วกว่านั้น โดยปกติแล้ว กล้อง DSLR หรือมิเรอร์เลสจะโฟกัสได้เร็วกว่ากล้องรุ่นเล็ก ๆ รวมถึงการตามโฟกัสสิ่งที่เคลื่อนไหวได้แม่นยำกว่า
อย่างไรก็ตาม กล้องที่โฆษณาว่ามีความเร็ว 10 – 20 fps นั้นก็อาจเกินจำเป็นไปหน่อยสำหรับคนส่วนใหญ่โดยเฉพาะมือใหม่หัดถ่าย เพราะน้อยครั้งมากที่คนส่วนใหญ่จะต้องใช้งานความเร็วขนาดนั้น
นี่อาจเป็นคุณสมบัติที่ไม่ค่อยมีคนซื้อกล้องส่วนใหญ่ไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนัก แต่จะในความเป็นจริงมันเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณถ่ายภาพสนุกขึ้นมาก เราคิดว่าคุณควรคำนึงถึงรูปร่างของกล้อง ตำแหน่งปุ่มคำสั่ง และน้ำหนักของกล้อง
ถ้าเป็นไปได้ เราคิดว่าคุณควรเลือกกล้องที่มีระบบจอทัชสกรีนซึ่งใช้งานได้สะดวกกว่า แต่ต้องให้แน่ใจว่าจอนั้นสามารถตอบสนองการสัมผัสได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วพอสำหรับการใช้งาน ซึ่งทั้งหมดนี้วิธีที่ดีที่สุดที่คุณจะรู้ได้คือการไปลองจับกล้องและลองถ่ายดูด้วยตัวเอง
ในส่วนของน้ำหนัก ถ้าคุณเลือกซื้อกล้อง DSLR หรือ มิเรอร์เลส ก็ควรคำนึงด้วยว่าคุณจะต้องใส่เลนส์เข้าไปอีก ซึ่งก็จะเพิ่มน้ำหนักขึ้นไปอีก (และต้องพึงรู้ไว้ว่ามันจะไม่ใช่การซื้อที่จบในครั้งเดียว เพราะคุณจะต้องเสียเงินซื้อเลนส์ขนาดต่าง ๆ ในภายหลังเกือบแน่นอน)
กล้องมากมายในปัจจุบันนี้สามารถ่ายวิดีโอได้แล้ว และจำนวนไม่น้อยที่สามารถบันทึกวิดีโอ 4K ที่มีความคมชัดสูงได้ วิดีโอที่มีคุณภาพสูงสามารถนำไปผลิตเป็นงานต่าง ๆ เพื่อหารายได้เสริมได้เลย
หากคุณอยากจะซื้อกล้องที่มีถ่ายวิดีโอได้ ควรมองกล้องที่มีเฟรมเรท 24 – 30 fps ซึ่งเป็นเกณฑ์ปกติ และถ้าสูงขึ้นไปอย่าง 60 fps จะสามารถดูได้อย่างราบรื่น หรือทำสโลว์โมชั่นได้ บางครั้งผู้ผลิตอาจจะโฆษณาว่ากล้องนี้สามารถถ่าย 4K ได้ แต่ซ่อนข้อมูลไว้ข้างในว่าสามารถถ่ายได้เพียง 15 fps ซึ่งนั่นไม่ควรเรียกว่าวิดีโอด้วยซ้ำไป
อย่างไรก็ตามกล้องอย่างพอยท์ แอนด์ ชูทจะให้วิดีโอที่มีคุณภาพเพียงพอสำหรับการใช้ที่ไม่จริงจังนัก แต่องค์ประกอบหนี่งที่น่าสนใจมากกว่าก็คือ การป้องการภาพสั่นไหว หรือ stabilization เพราะว่าถ้าคุณไม่อยากจะถือขาตั้งกล้องไปไหนมาไหนด้วยตลอด ก็ต้องใช้กล้องที่มีระบบ stabilization หรือเลนส์ที่มีระบบ OIS ซึ่งจะช่วยให้วิดีโอที่ถ่ายมาไม่สั่นไหว วูบวาบ ดูแล้วน่าปวดหัว
JPEG นั้นเป็นมาตรฐานของภาพโดยทั่วไป ภาพในอินเตอร์เน็ตส่วนมากก็จะเป็น JPEG และกล้องส่วนใหญ่ก็มี JPEG เป็นค่าเริ่มต้น และสำหรับคนทั่วไปคุณภาพของภาพ JPEG นั้นก็เพียงพออยู่แล้ว
ส่วนภาพที่เป็น RAW (รอว์) ก็คือ ข้อมูลแสงที่ถูกบันทึกไว้ที่เซ็นเซอร์ของกล้อง โดยไม่ตัดข้อมูลใดออกไปเหมือนกับที่ JPEG ทำ ดังนั้นจะสามารถทำภาพ raw มาปรับแต่งได้ตามใจ อย่างเช่น เงามืดก็สามารถทำให้สว่างขึ้นได้ ส่วนสว่างก็สามารถทำให้มืดลงได้ และสีก็สามารถปรับแต่งได้ด้วย RAW นั้นได้เปิดโลกใบใหม่ให้แก่การปรับแต่งภาพดิจิตอลไปตามจินตนาการของผู้ถ่าย และช่างภาพมืออาชีพก็มักถ่ายภาพเป็น RAW เพื่อการปรับแต่งให้สวยงามภายหลังนี้เอง แต่กล้องที่มีโหมดภาพ RAW ก็ย่อมแพงกว่าที่มีแต่ JPEG รวมทั้งต้องใช้เมมโมรี่การ์ดที่ใหญ่ขึ้นด้วย
Wi-Fi น่าจะนับได้ว่าเป็น “ของต้องมี” ในกล้องยุคใหม่ เพราะว่าปัจจุบันเราโพสต์ภาพลงในโซเชียลมีเดียกันทั้งนั้น การที่กล้องมี Wi-Fi ก็ทำให้เราแชร์ภาพลง IG หรือ FB ได้โดยไม่ต้องยุ่งยากโหลดภาพลงคอมพิวเตอร์แล้วค่อยโพสต์อีกทีหนึ่ง และผู้ผลิตกล้องจะสร้างแอพที่ทำงานได้กับ IOS หรือ Android เพื่อให้ทำงานเชื่อมต่อกับมือถือได้อย่างสะดวกสบาย
ส่วน GPS นั้นไม่ค่อยจำเป็นสำหรับคนส่วนใหญ่ และอาจทำให้กล้องมีราคาแพงขึ้นไปอีก หากว่าคุณเดินทางบ่อย มี GPS ไว้ก็จะสามารถบันทึกได้ว่าถ่ายที่ไหน แต่มันก็จะทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วด้วย ถ้าเปิดทิ้งไว้
Post a Comment