กล้องดิจิตอล DSLR หรือ Mirrorless ดี ?
การถ่ายภาพได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันไปแล้ว เมื่อพบเจอเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันเราก็แชร์ลง Social Network ทั้งในรูปแบบข้อความและรูปภาพ และแน่นอนว่าอุปกรณ์หลักในการบันทึกภาพในชีวิตประจำวันนี้ส่วนใหญ่คงหยิบเอา Smartphone ขึ้นมาบันทึกภาพหรือวีดีโอเพราะความสะดวกสบายในการใช้งานและแชร์ไปยังช่องทางต่างๆ ซึ่งกลุ่มคนที่ชื่นชอบการถ่ายภาพจากกล้อง Smartphone ที่ต้องการคุณภาพของภาพที่สูงขึ้นกว่าที่ได้จาก Smartphone จึงมองหากล้องดิจิตอลเพื่อมาเติมเต็มความต้องการส่วนนั้น เมื่อตัดสินใจจะซื้อกล้องซักตัวเป็นอุปกรณ์คู่กายในการบันทึกภาพความทรงจำต่างๆที่เกิดขึ้นก็มักจะมีคำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวว่ากล้องที่มีอยู่เกลื่อนกลาดในตลาดทุกวันนี้ แบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆได้กี่ประเภทและแต่ละประเภทนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร บทความนี้จะจะอธิบายความแตกต่างและความเหมาะสมในการเลือกใช้งานกล้องแต่ละชนิดกัน…
ต้องบอกว่าการแบ่งประเภทที่ผมจะยกมาพูดในบทความนี้แบ่งตามลักษณะทางกายภาพที่เห็นได้อย่างชัดเจนแล้วกันครับ เพราะการแบ่งประเภทของกล้องนั้นสามารถจำแนกตามประเภทได้หลากหลายรูปแบบ แต่บทความนี้จะแบ่งประเภทกล้องออกเป็น 2 แบบใหญ่ๆคือ กล้องดิจิตอลทีสามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ และกล้องดิจิตอลที่ไม่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ สำหรับกล้องดิจิตอลที่ไม่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ก็ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น กล้องดิจิตอลติดโทรศัพท์มือถือ, กล้องดิจิตอลขนาดเล็ก เป็นต้น ซึ่งข้อดีของกล้องเหล่านี้ก็คือความสะดวกในการพกพาแต่ก็แลกมาด้วยข้อจำกัดในมุมมองภาพที่ไม่สามารถเลือกได้ดั่งใจเหมือนการใช้กล้องดิจิตอลแบบเปลี่ยนเลนส์ได้ ดังนั้นเพื่อคุณภาพของภาพที่ดีและการตอบโจทย์มุมมองภาพที่หลากหลายผมจะขอข้ามไปลงรายละเอียดในกล้องดิจิตอลที่เปลี่ยนเลนส์ได้เลยดีกว่า ในส่วนของกล้องดิจิตอลที่เปลี่ยนเลนส์ได้ที่เป็นพระเอกของบทความนี้สามารถแยกออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือ กล้อง DSLR และ น้องใหม่มาแรงอย่างกล้อง Mirrorless ที่เข้ามาเขย่าวงการถ่ายภาพให้สั่นสะเทือน !!!
ย่อมาจาก Digital single-lens reflex พัฒนามากจากกล้องถ่ายภาพฟิล์มแบบ SLR เดิม โดยยังใช้กระจกเพื่อสะท้อนแสงจากเลนส์ไปยังปริซึมบนกระโหลกกล้องแล้วสะท้อนต่อไปยังช่องมองภาพ (กลไกสีฟ้า) ทำให้ผู้ใช้งานเห็นมุมมองของผลลัพธ์ได้ผ่านการแนบสายตาลงบนช่องมองภาพ และเมื่อกดชัตเตอร์ กระจกสะท้อนภาพจะถูกพับขึ้นไปปิดช่องมองภาพเพื่อเปิดทางให้แสงวิ่งเข้าไปยังเซนเซอร์รับภาพ (หรือฉายลงแผ่นฟิล์ม ในกรณีกล้อง SLR) กลไกที่ว่านี้ เป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า”เสียงชัตเตอร์”ขณะกดชัตเตอร์ กับรูปทรงอันเป็นเอกลักษณ์ของกล้องระบบนี้นี่เอง
กล้องรูปแบบใหม่ที่ได้รับการพัฒนาต่อมาจากกล้อง DSLR โดยมีจุดมุ่งหมายในการลดขนาดตัวกล้องให้มีขนาดเล็กลงเพื่อความสะดวกในการพกพา จึงพิจารณาตัดชิ้นส่วนที่เป็นกระจกสะท้อนภาพและปริซึมออก (กลไกสีฟ้า) ให้แสงที่ผ่านเลนส์เข้ามาตกกระทบลงบนตัวเซนเซอร์ตลอดเวลาซึ่งผู้ใช้งานจะสามารถมองเห็นภาพผลลัพธ์ได้จากหน้าจอ LCD ด้านหลังตัวกล้อง ในบางรุ่นที่มีช่องมองภาพก็จะเป็นช่องมองภาพเสมือนที่ใช้จอภาพขนาดเล็กติดตั้งลงไปเพื่อเพิ่มความคุ้นเคยสำหรับคนที่ยังหลงไหลการถ่ายภาพผ่านการมองช่องมองภาพโดยภาพผลลัพธ์ที่เห็นจากทั้งหน้าจอ LCD หลังกล้องและช่องมองภาพแบบเสมือนนั้นเป็นภาพที่ใกล้เคียงกับผลลัพธ์จริงที่จะได้หลังจากกดชัตเตอร์เพราะนอกจากมุมมองที่จำลองมาแล้ว สภาพแสง อุณหภูมิแสง ก็ได้ถูกนำมาจำลองร่วมกัน ซึ่งทำให้การถ่ายภาพนั้นง่ายขึ้นกว่าการมองผ่านช่องมองภาพของ DSLR ที่เห็นเพียงแค่มุมมองภาพ ซึ่งเป็นเหตุผลให้ตัวกล้อง mirrorless นั้นมีขนาดที่เล็กกว่า DSLR อย่างเห็นได้ชัด
• ตัวกล้องมีขนาดใหญ่ ทำให้สามารถจัดวางปุ่มกดควบคุมสำหรับการปรับตั้งได้รอบตัว ผู้ใช้งานจึงสามารถปรับตั้งค่าต่างๆได้อย่างรวดเร็วและคล่องตัวมากกว่า mirrorless ที่ต้องเข้าเมนูหรือใช้งานปุ่มคำสั่งร่วมกันหลายคำสั่งในปุ่มเดียว
• DSLR ถ่ายภาพได้ปริมาณที่มากกว่าต่อการใช้งานแบตเตอรี่ 1 ก้อน เพราะไม่ต้องเสียพลังงานไปกับหน้าจอแสดงผลที่ต้องเปิดตลอดเวลาบน mirrorless ประกอบกับเนื้อที่สำหรับแบตเตอรี่ที่มากกว่า
• ปริซึมสะท้อนภาพแสดงให้เห็นเพียงมุมมองของภาพ แต่ไม่สามารถแสดงผลลัพธ์ของการตั้งค่าต่างๆได้เหมือนการมองผ่านหน้าจอ LCD ของ mirrorless จึงต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ ทำความเข้าใจในการหลักการถ่ายภาพและการใช้งานค่อนข้างสูงกว่ากล้อง mirrorless
• ขนาดบอดี้ที่เทอะทะไม่สะดวกในการพกพาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับกล้อง Mirrorless
• สะดวกในการหยิบขึ้นมาใช้งาน ไม่เป็นที่สะดุดตาขณะใช้งาน โดยเฉพาะกับการถ่ายภาพแนว Street photography เนื่องจากกล้องไม่ใหญ่เทอะทะจนเป็นจุดสังเกตุ
• การใช้งานง่ายดายกว่า DSLR โดยเฉพาะกับมือใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์กับกล้องถ่ายภาพมาก่อน เห็นภาพผลลัพท์ทันทีที่ปรับค่าผ่านจอ LCD
• หากเปรียบเทียบกับ DSLR แล้วถ่ายภาพได้ปริมาณที่น้อยกว่าต่อการใช้งานแบตเตอรี่ 1 ก้อน เพราะต้องใช้ไฟฟ้ากับจอแสดงผลมาก ประกอบกับเนื้อที่สำหรับแบตเตอรี่ที่น้อยกว่า
คุณภาพของการถ่ายภาพและขนาดของไฟล์ภาพที่ได้ในปัจจุบันนั้นแทบจะไม่มีความแตกต่างกันเมื่อเทียบกล้อง DSLR และ Mirrorless ที่มีขนาดเซนเซอร์และเลนส์ที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้นความแตกต่างส่วนใหญ่จะเป็นในด้านทางกายภาพมากกว่าที่ผู้ใช้งานแต่ละกลุ่มจะเลือกใช้ให้เหมาะกับความต้องการตามลักษณะทางกายภาพของตัวกล้อง ซึ่งสามารถแบ่งได้ดังนี้
• กล้อง Mirrorless เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มใช้งานกล้อง ผู้ต้องการกล้องที่ไม่ซับซ้อน เน้นความคล่องตัวในการพกพา ไปยังสถานที่ต่างๆ แต่ยังสามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ตามรูปแบบการใช้งาน และต้องการกล้องที่มีประสิทธิภาพสูงเทียบเท่ากับ DSLR (กล้อง Mirrorless ในบางรุ่น มีฟีเจอร์เหนือกล้อง DSLR ไปแล้วเสียด้วยซ้ำ)
• กล้อง DSLR เหมาะสำหรับงานถ่ายภาพที่ต้องการความสามารถขั้นสูง ต้องการความถนัดมือการในจับถือ งานที่ต้องการการปรับตั้งค่าอย่างรวดเร็ว เน้นอายุแบตเตอรี่ยาวนาน หรือผู้ที่ชื่อชอบ Look & Feel ของบอดี้กล้อง ชอบกล้องที่จับแน่นถนัดมือ รับได้กับขนาดและน้ำหนัก และผู้ที่เน้นความคุ้มค่าในการลงทุนกับอุปกรณ์เสริมพ่วง โดยเฉพาะเลนส์หรือฟิลเตอร์
แทบจะพูดได้ว่าสำหรับมือใหม่แล้วเหตุผลสนับสนุนที่คุณควรจะเลือกซื้อ DSLR นั้นคงเหลือเพียงความคลั่งไคล้ในความคลาสสิคของรูปร่างและความต้องการปรับเปลี่ยนค่าตัวกล้องอย่างรวดเร็วแล้ว นอกจากนั้นคงปฎิเสธไม่ได้ว่า Mirrorless ไม่ได้มีอะไรที่เป็นรอง DSLR อยู่อีกแล้ว และยิ่งมองไปถึงข้อดีในเรื่องของขนาด ความสะดวกในการพกพา ความง่ายในการใช้งาน ที่กล้อง Mirrorless ทำได้ดีกว่าอยู่แล้ว ก็ยิ่งไม่แปลกใจที่ความนิยมของกล้อง DSLR ถดถอยลงไปมาก สวนทางกับกล้อง Mirrorless ที่ก้าวเข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดในอุตสาหกรรมกล้องไปซะจนจะเรียกได้ว่าหมดยุคของกล้อง DSLR ไปแล้วเฉกเช่นเดียวกับที่กล้อง SLR เคยประสบมาก่อนเมื่อมีการเข้ามาของ DSLR
Post a Comment