สงครามมือถือเดือด เมื่อแบรนด์มือถือจับมือแบรนด์กล้อง และเลนส์ชั้นนำระดับโลก ::

หนึ่งในสิ่งที่ถูกพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งในวงการมือถือนั่นก็คือ กล้องถ่ายภาพ ซึ่งในระยะหลังมานี้เราจะเริ่มเห็นได้ว่า สงครามกล้องถ่ายภาพมือถือเริ่มมีความระอุมากยิ่งขึ้น หลังแบรนด์มือถือเริ่มไปจับมือกับแบรนด์กล้องถ่ายภาพชั้นนำ รวมถึงแบรนด์ที่มีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมด้านกล้องถ่ายภาพโดยเฉพาะ แต่เพราะเหตุผลใด และร่วมมือกันในฐานะอะไรบ้างนั้น ไปหาคำตอบกันดีกว่าครับ

จริงๆ แล้วมือถือ และสมาร์ทโฟน มีการพัฒนากล้องถ่ายภาพให้ล้ำหน้ามาโดยตลอด จากเดิมที่มีความละเอียดไม่ถึง 1 ล้านพิกเซล ก็สามารถพัฒนาความละเอียดให้สูงแตะหลัก 100 ล้านพิกเซลด้วยเวลาไม่กี่ปี แต่ด้วยข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ที่จำเป็นต้องมีขนาดเล็กเพื่อง่ายต่อการพกพา รวมถึงขนาดของเซ็นเซอร์มือถือที่ยังห่างชั้นกับกล้องระดับ Full Frame

ครั้นจะให้แบรนด์ผู้ผลิตมือถือที่อาจไม่ได้มีความเชี่ยวชาญด้านกล้องถ่ายภาพ ลงเงินลงแรงกับแผนก R&D เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดเหล่านี้ ก็อาจเป็นเรื่องที่ดูยากลำบากไปสักหน่อย จึงก่อให้เกิดการร่วมมือกันกับแบรนด์ผู้ผลิตกล้องถ่ายภาพ ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้อยู่แล้ว เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ หรือเทคโนโลยีบางอย่าง เพื่อช่วยให้สมาร์ทโฟนมีกล้องถ่ายภาพที่ดีขึ้นไปอีกระดับ หากพูดถึงมือถือยุคปัจจุบันที่มีการ Collab กันกับแบรนด์กล้อง หรือแบรนด์ที่มีความเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ถ่ายภาพโดยตรงจะมีด้วยกันทั้งหมด 5 แบรนด์ด้วยกัน ได้แก่ Huawei, Vivo, Nokia, Sony และ OnePlus ซึ่งทั้ง 5 แบรนด์นี้ต่างก็จับมือเป็นพาร์ทเนอร์กับแบรนด์ผู้ผลิตที่แตกต่างกันออกไป

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2016 แบรนด์สมาร์ทโฟนจากประเทศจีนอย่าง Huawei ได้ออกมาประกาศความร่วมมือระยะยาวกับแบรนด์กล้องระดับตำนานอย่าง Leica โดย Huawei ให้เหตุผลว่า Leica เป็นแบรนด์ที่มีการปฏิวัติวงการถ่ายภาพมากที่สุดรายหนึ่ง รวมทั้งคุณภาพของกล้องก็อยู่ในระดับแนวหน้า โดยการร่วมมือกันในครั้งนั้นจะเน้นไปที่การวิจัย, ดีไซน์ และร่วมพัฒนา (Co-enginerring) เกี่ยวกับกล้องถ่ายภาพบนสมาร์ทโฟนโดยเฉพาะ

ผลผลิตของการร่วมมือกันทั้งสองแบรนด์นี้ ก็ไม่ต้องรอนาน เพราะในช่วงเดือนเมษายน ปี 2016 ทาง Huawei ได้ทำการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ในชื่อ HUAWEI P9 และ P9 Plus ที่มาพร้อมกับระบบกล้องหลังคู่ที่พัฒนาร่วมกับแบรนด์ LEICA โดยใช้กล้องสี RGB เก็บภาพคู่กับกล้องขาวดำ เพื่อนำมาผสานรวมกันผ่านอัลกอริทึมที่ LEICA ช่วยพัฒนา ผลลัพธ์ที่ได้ทำให้กล้องสามารถเก็บรายละเอียดของสีสัน และภาพถ่ายได้ดีกว่ากล้องเดี่ยว

นอกเหนือจากการร่วมมือด้านซอฟท์แวร์แล้ว Huawei และ LEICA ยังมีการร่วมมือด้านฮาร์ดแวร์ด้วย เพราะสมาร์ทโฟน Huawei จะได้ใช้เลนส์ LEICA SUMMILUX / SUMMARIT ซึ่งเป็นเลนส์ที่ทาง Huawei ให้บริษัทซัพพลายเออร์รายอื่นอย่างเช่น Sunny Optic เป็นผู้ทำการผลิตให้ และให้ LEICA เป็นผู้ควบคุมคุณภาพ และกำหนดมาตรฐานการผลิต (LEICA Certified) เพื่อให้ภาพที่ได้จากกล้องมือถือ Huawei มีคุณภาพอยู่ในระดับสูงสุด

ในปัจจุบัน ความสัมพันธ์ของทั้งสองแบรนด์นี้ก็อยู่ในระดับที่เหนียวแน่น เพราะสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดอย่าง HUAWEI Mate40 Series ก็ยังคงมีการพัฒนาร่วมกันกับ LEICA ทั้งทางด้านฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ พร้อมอัปเกรดความสามารถให้เก่งขึ้นไปอีกระดับ ด้วยระบบ SuperZoom 10x ที่ช่วยให้การซูมภาพระยะไกลด้วยมือถือมีความคมชัด เก็บรายละเอียดได้มากกว่าที่เคย ไปจนถึงเทคโนโลยี Free-form Lens รุ่นแรกของโลก ที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาภาพเบี้ยวบริเวณขอบซึ่งมักจะเกิดขึ้นบ่อยในกล้องเลนส์ Ultra Wide ไปจนถึงเทคโนโลยี AI Tracking สำหรับโฟกัสวัตถุที่ต้องการแบบอัตโนมัติ และ XD Fusion Engine ที่ช่วยให้การถ่ายวิดีโอแบบ HDR สามารถเก็บรายละเอียดได้อย่างครบถ้วน

นอกจาก Leica แล้ว Huawei ยังได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ Profoto บริษัทผู้ผลิตแฟลช และไฟสำหรับถ่ายภาพ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการถ่ายภาพบนมือถือให้เข้าใกล้กันกับการถ่ายภาพแบบสตูดิโอ โดยการร่วมมือกันในครั้งนั้นก่อให้เกิดอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่เรียกว่า Profoto C1 และ C1 Plus ซึ่งเป็นไฟสตูดิโอรุ่นแรกของโลกที่ถูกพัฒนาออกมาเพื่อใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟน

ZEISS หรือ Carl ZEISS เป็นแบรนด์ที่เน้นผลิตเลนส์กล้องถ่ายภาพเป็นหลัก แต่การมาร่วมงานกับวงการมือถือนั้น หลายท่านน่าจะรู้จักกันในฐานะแบรนด์ผู้ผลิตเลนส์คู่บุญของมือถือ Nokia ที่ร่วมงานกันมาตั้งแต่ช้านาน ซึ่งมือถือรุ่นเด่นจาก Nokia ที่ใช้เลนส์ ZEISS ก็ได้แก่ Nokia 1020 หรือ Nokia 808 PureView เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบัน แม้ Nokia ว่าจะเปลี่ยนถ่ายจากยุค Symbian เป็น Android แล้ว Nokia ก็ยังคงเลือกใช้งานเลนส์จาก ZEISS เช่นเดิม

อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก ZEISS ไม่ใช่แบรนด์ผู้ผลิตเลนส์แบบ Exclusive ทำให้เราได้เห็นแบรนด์มือถือรายอื่นร่วมงานกับ ZEISS ด้วย โดยในรายล่าสุดที่จับมือเป็นพันธมิตรนั่นก็คือ Vivo ที่ดูจะมีการพัฒนาร่วมกันแบบจริงจังเป็นพิเศษ ถึงขนาดมีการจัดตั้ง vivo ZEISS Imaging Lab ซึ่งเป็นโครงการวิจัย และพัฒนานวัตกรรมการถ่ายภาพบนสมาร์ทโฟน โดย ZEISS และ Vivo จะมีการ "พัฒนาทางวิศวกรรมร่วมกัน (Co-Engineer) บนสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียม”

การร่วมมือกันระหว่าง Vivo และ ZEISS ค่อนข้างต่างจากแบรนด์ Nokia ที่หวนกลับมาร่วมงานกับแบรนด์ผู้ผลิตเลนส์กล้องรายนี้ในปี 2017 เนื่องจากทาง ZEISS ระบุบนหน้าเว็บไซต์อย่างชัดเจนว่าเป็น การร่วมงานกับ Nokia เป็นการ “ร่วมกันพัฒนา” (Co-Develop) เท่านั้น นอกจากนี้ การจับมือกันในครั้งนั้นก็เพื่อเป็นการพัฒนาคุณภาพของภาพถ่าย และนำชื่อ ZEISS กลับมาอยู่บนมือถือ Nokia

ผลผลิตจากการร่วมมือกันระหว่าง Vivo และ ZEISS ก็เริ่มเห็นผลแล้วกับรุ่น Vivo X60 Pro+ ที่เลือกใช้เลนส์ ZEISS T* เพื่อช่วยคุณภาพของภาพถ่ายให้ดีขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งเมื่อรวมร่างกับ Vivo ที่เป็นแบรนด์ที่มีนวัตกรรมด้านกล้องมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็น Gimbal Camera System หรือชุดโมดูกล้องที่มีระบบกันสั่นที่ครอบคลุมเฟรมภาพได้มากกว่า OIS ถึง 300% ไปจนถึงระบบโฟกัสดวงตาแบบ Eye Autofocus Selfie ก็ยิ่งทำให้มือถือ Vivo รุ่นใหม่ๆ น่าจับตามองเป็นพิเศษ

อีกหนึ่งแบรนด์ที่ร่วมมือกับ ZEISS ด้วยนั่นก็คือ Sony ที่มีการเปิดตัว Sony Xperia 1 II ซึ่งมาพร้อมกับเลนส์ ZEISS T* เช่นเดียวกัน แต่การร่วมมือกันระหว่าง Sony และ ZEISS ค่อนข้างแตกต่างจากกรณีของ Vivo และ Nokia พอสมควร เนื่องจากเป็นการร่วมมือกันทางกลยุทธ์เท่านั้น (Strategic Collaboration) จึงทำให้เราอาจไม่ได้เห็นมือถือ Sony ใช้งานเลนส์ ZEISS แบบระยะยาวเหมือนกับกรณีของ Huawei

OnePlus มือถือรายล่าสุดที่ร่วมงานกับ Hasselblad แบรนด์กล้องระดับตำนานอย่างที่มีผลงานผลิตกล้องสำหรับภารกิจ Apollo 11 ในปี 1969 เพื่อนำไปถ่ายภาพบนดวงจันทร์มาแล้ว โดยมือถือรุ่นแรกที่เราจะได้เห็นผลผลิตจากการร่วมมือกันในครั้งนี้ก็คือ OnePlus 9 Series ที่มีกำหนดการเปิดตัวในวันที่ 23 มีนาคม 2021

เบื้องต้นมีข้อมูลออกมาว่า OnePlus จะทำงานร่วมกับ Hasselblad เพื่อปรับปรุงซอฟต์แวร์ประมวลผลภาพ รวมถึงปรับแต่งสี และการปรับเทียบเซ็นเซอร์ รวมทั้งจะมีการปรับเทียบสีขั้นสูง เพื่อให้ภาพถ่ายมีสีสันที่เป็นธรรมชาติ และแม่นยำมากยิ่งขึ้น รวมทั้งจะมีการพัฒนาโหมดถ่ายภาพแบบโปรรูปแบบใหม่ ที่ใช้ซอฟต์แวร์ประมวลผลภาพจาก Hasselblad โดยเฉพาะ

การร่วมมือกันในครั้งนี้ดูเหมือนว่า OnePlus จะเอาจริงเอาจังพอสมควร เพราะมีรายงานออกมาด้วยว่า ทางบริษัทมีโครงการลงทุนเป็นเม็ดเงินกว่า 150 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อจัดตั้งศูนย์วิจัย 4 แห่งทั่วโลก และห้องแล็ปสำหรับค้นค้านวัตกรรมอีก 2 แห่งในสหรัฐฯ รวมถึงญี่ปุ่น ซึ่งก็ไม่แน่ว่าในอนาคตเราอาจได้เห็นเซอร์ไพร์สใหม่ในกล้องมือถือจาก OnePlus อีกก็เป็นได้

การแข่งขันระหว่างกล้องมือถือบนสมาร์ทโฟนอาจจะดูดุเดือด แต่สุดท้ายแล้วผู้ที่ได้รับประโยชน์เต็มๆ คือ ผู้บริโภค เพราะยิ่งมีการแข่งขันที่สูงเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีการผลักดันให้เกิดนวัตกรรม และเทคโนโลยีบนสมาร์ทโฟนนั่นเองครับ