แนะนำ 10 กล้อง Mirrorless ยี่ห้อไหนดี 2020 น้ำหนักเบา ภาพสวย ถ่าย Vlog ได้ พร้อมวิดีโอ 4K

กล้อง Mirrorless (มิลเลอร์เลส) กลายเป็นกล้องที่ได้รับความนิยมมากในหมู่คนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ เพราะเป็นเหมือนกล้องที่รวมข้อดีของกล้อง DSLR และกล้อง Compact ไว้ด้วยกัน ทั้งเรื่องคุณภาพของภาพ การทำหน้าชัดหลังเบลอ การจัดการ Noise ในสภาพแสงต่าง ๆ ที่กล้อง DSLR ทำได้ กล้อง Mirrorless ก็ทำได้สูสีไม่แพ้กัน รวมถึงคุณสมบัติของกล้อง Compact ที่ใช้ง่าย น้ำหนักเบาพกพาสะดวก และฟิลเตอร์ลูกเล่นเพื่อเพิ่มความสวยงาม ทำให้กล้อง Mirrorless คือตัวเลือกที่ได้รับความนิยมทั้งจากนักเล่นกล้องทั่วไป ไปจนถึงมือโปรเพื่อใช้สำหรับสร้างสรรค์ผลงานเลยครับ

และด้วยความที่ กล้อง Mirrorless ได้รับความนิยมมากขนาดนี้ ทำให้มีแบรนด์กล้องหลากหลายแบรนด์ได้กระโดดเข้ามาร่วมแย่งชิงก้อนเค้กในตลาดกล้อง Mirrorless กันอย่างมากมาย ด้วยการทำกล้อง Mirrorless ของตัวเองมาต่อสู้ท้าชิง ซึ่งแต่ละเจ้าก็แข่งกันงัดไม้เด็ดมาใส่ในกล้องของตัวเองแบบจัดหนักจัดเต็ม ทำให้กล้อง Mirrorless แต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อ มีข้อดี จุดเด่นจุดด้อยที่แตกต่างกัน จนผู้ใช้อย่างเรา ๆ เกิดอาการ “เลือกไม่ถูก” ไม่รู้จะซื้อกล้องรุ่นไหน ยี่ห้อไหนดี วันนี้ผมเลยจะพาทุกคนไป “ส่อง” กล้อง Mirrorless มาดูกันว่ามีรุ่นไหนน่าใช้กันบ้าง

อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นนะครับ ว่ากล้อง Mirrorless คือ กล้องที่ตัดข้อด้อย – รวมข้อดีของกล้อง DSLR และกล้อง Compact ไว้ด้วยกัน เริ่มจากการตัด “กระจกสะท้อนภาพ” ที่อยู่ในกล้อง DSLR ออก และเปลี่ยนมาใช้ช่องมองภาพระบบไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ Mirrorless นั้นเอง ทำให้โดยรวมแล้ว กล้อง Mirrorless จะมีขนาดเล็กและเบากว่ากล้อง DSLR แถมยังออกแบบมาให้ใช้งานง่ายตามสไตล์กล้อง Compact เช่น การมีฟิลเตอร์ช่วยตกแต่งภาพ มีฟีเจอร์ช่วยซูม ช่วยโฟกัส ฯลฯ เรียกได้ว่าใครถ่ายก็สวย จบในตัวเลยครับ

นอกจากการตัดข้อด้อยแล้ว กล้อง Mirrorless ยังคงข้อดีต่าง ๆ จากกล้อง DSLR ที่กล้อง Compact ไม่มี นั่นก็คือ ขนาดเซนเซอร์ที่ใหญ่ ทำให้การจัดการ Noise ในสภาพแสงต่าง ๆ ทำได้ดี รวมถึงการ “เปลี่ยนเลนส์ได้” ที่ทำให้ไม่ว่าภาพจะใกล้ ไกลแค่ไหน ก็สามารถเก็บได้อยู่หมัด โดยรวมแล้ว ทำให้กล้อง Mirrorless คือกล้องที่ น้ำหนักเบา ใช้งานง่าย เปลี่ยนเลนส์ได้ แถมได้คุณภาพของภาพระดับมือโปรเลยครับ

หลังจากรู้ข้อดีของกล้อง Mirrorless กันไปแล้ว เชื่อว่าหลายคนคงสนใจ อยากเป็นเจ้าของกล้อง Mirrorless กันสักตัว งั้นเราไปดูกันดีกว่าว่า กล้อง Mirrorless 10 ตัว ที่เราได้เอามาแนะนำนั้น มีตัวไหนน่าโดน น่าจัดกันบ้าง

เริ่มที่กล้องจากแบรนด์ Nikon ที่คนไทยคุ้นเคยกันอย่างดีกับ Nikon Z6 คือกล้อง Mirrorless ระดับสูง ที่ทาง Nikon ส่งมาสู้ในตลาด โดยใส่สเปคมาให้แบบจัดเต็มทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ เป็นกล้องที่สามารถใช้ได้ตั้งแต่มือสมัครเล่น จนถึงมืออาชีพที่ต้องการใช้ในการถ่ายภาพความละเอียดสูงได้แบบสบาย ๆ

เริ่มที่ตัวบอดี้ ทำจากแมกนีเซียมอัลลอยที่มีความทนทานสูง พร้อม Weather Seal ป้องกันอีกชั้นเสริมความทนทานในทุกสภาพอากาศ เซนเซอร์เป็นแบบ Full Frame ที่มีความละเอียด 24.5 ล้านพิกเซล มีกันสั่นที่มากถึง 5 แกน พร้อมด้วยจุดโฟกัสที่มากถึง 273 จุด และยังสามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดถึง 4K ที่มาพร้อมพอร์ตต่อไมโครโฟน และหูฟังสำหรับมอนิเตอร์ เรียกได้ว่า ภาพไม่สั่น แถมชัดทุกส่วน ครบ! การันตีด้วยรางวัล Editor Choice จากเว็บไซต์ Digital Trends อีกด้วยครับ

ด้วยความที่ Nikon ได้วางให้กล้อง Nikon Z6 เป็นกล้องโปร หรือกล้องสำหรับมืออาชีพ ทำให้จอมอนิเตอร์ของ Nikon Z6 ไม่สามารถฟลิปมาด้านหน้าได้ ทำให้ใครที่อยากใช้ถ่ายเซลฟี่ Nikon Z6 ตัวนี้อาจจะไม่เหมาะสักเท่าไหร่ แต่ใครต้องการกล้องดี ฟีเจอร์ครบ ใช้เป็นตัวจบได้สบาย Nikon Z6 ตัวนี้ตอบโจทย์เลยครับ

ถ้าใครต้องการกล้อง Mirrorless น้ำหนักเบา ถ่ายวิดีโอดี ๆ แถมมีช่องต่อไมค์ ผมขอแนะนำให้รู้จักกล้องตัวนี้เลยครับ Sony a6400 เพราะนี่คือกล้องที่ Sony ส่งมาลุยตลาด Mirrorless ระดับกลาง แต่กลับซ่อนความสามารถระดับโปรไว้ ยิ่งงานวิดีโอ ดีไม่แพ้รุ่นท็อป ๆ เลยครับ

เริ่มที่บอดี้กันก่อนนะครับ Sony a6400 มาพร้อมบอดี้แบบแมกนีเซียมอัลลอย ดีไซน์ดูเผิน ๆ แทบไม่ต่างจากรุ่นพี่อย่าง a6300 เลย ส่วนภายใน เซนเซอร์เป็นแบบ APS-C Exmor CMOS ความละเอียด 24.2 ล้านพิกเซล มีจุดโฟกัสมากถึง 425 จุด ซึ่งเรื่องโฟกัสถือเป็นจุดขายสำคัญของ a6400 ตัวนี้เลยครับ เพราะ Sony เคลมไว้ว่า a6400 สามารถโฟกัสได้ไวถึง 0.02 วินาที แถมยังโฟกัสดวงตาได้ตรงเป๊ะ แม้เราจะเคลื่อนไหวมากแค่ไหน ระบบโฟกัสดวงตาของ a6400 จะเกาะติดให้ใบหน้าเราชัดตลอดเวลา แถมจอมอนิเตอร์ของ a6400 ยังสามารถฟลิปมาด้านหน้าได้ ใครเป็นสายเซลฟี่หรือสาย Vlog รับรองว่าเหมาะครับ

โดย Sony a6400 สามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดถึง 4K แถมยังสามารถทำ Slow-motion ได้ถึง 120 เฟรม/วินาที นอกจากนั้นยังมาพร้อม S-Log Gamma สำหรับใช้แต่งสีวิดีโอแบบมือโปร แต่น่าเสียดายที่ a6400 ไม่มีกันสั่นในบอดี้มาด้วย แถมเมื่อฟลิปหน้าจอมาด้านหน้า จอจะติดกับบริเวณ Hot Shoe ทำให้ไม่สามารถต่ออุปกรณ์ที่หัวกล้องได้ แต่เมื่อหักลบกับความสามารถด้านวีดีโออื่น ๆ Sony a6400 ก็ยังเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากอยู่ดีครับ

Canon EOS M50 กล้อง Mirrorless ตัวเริ่มต้นของค่ายหนอน Canon ด้วยความที่อรรถประโยชน์ ภาพนิ่งก็ดี วิดีโอก็ได้ แถมใช้ง่ายไม่ซับซ้อน ทำให้ EOS M50 เป็นกล้องที่เหมาะมากสำหรับคนที่เพิ่งหัดเล่นกล้อง ถึงขนาดที่เว็บไซต์ DIY Photography ยกว่าเป็น “กล้องในอุดมคติของมือใหม่” เลยทีเดียวครับ

Canon EOS M50 มาพร้อมเซนเซอร์แบบ APS-C ความละเอียด 24.1 ล้านพิกเซล จุดโฟกัสมากถึง 143 จุด พร้อมระบบโฟกัส Dual Pixel CMOS AF ปรับปรุงใหม่ ให้การโฟกัสของ EOS M50 นั้นเหนียวแน่นหนึบยิ่งขึ้น สามารถดัน ISO ได้สูงถึง 51,200 สำหรับถ่ายในที่แสงน้อย ส่วนด้านวิดีโอ EOS M50 ได้ความละเอียดสูงสุด 4K แบบ 25 เฟรม/วินาที มีกันสั่นแบบอิเล็กทรอนิกส์ 5 แกน จอฟลิปได้ มีช่องต่อไมค์ เดินถ่าย Vlog ได้สบาย ยิ่งใช้กับเลนส์ Canon ที่มีกันสั่นด้วยแล้วยิ่งนิ่งเข้าไปใหญ่ ถือเป็นกล้องอีกตัวที่ยูทูปเบอร์หลายคนเลือกใช้ในการทำคลิปวิดีโอเลยครับ

แม้จะมีสเปคที่ให้มาพร้อมทั้งเรื่องการถ่ายภาพและวิดีโอ แต่ด้วยความที่ Canon วาง EOS M50 ไว้ในระดับเริ่มต้น ทำให้ในการใช้งานจริง หากใช้เพียงแค่งานระดับพื้นฐาน เช่น การถ่าย Vlog หรือการถ่ายภาพทั่วไป EOS M50 เป็นกล้องที่เหมาะมากเลยครับ แต่หากต้องการใช้ในงานระดับมืออาชีพ EOS M50 ยังมีปัญหาในเรื่องการจัดการ Noise ในที่แสงน้อย ทำให้ใครที่มองหากล้องสำหรับมือโปร อาจต้องเบนเข็มไปหากล้องรุ่นอื่นแทนนะครับ

ใครที่อยากได้กล้อง Mirrorless สักตัว สเปคดีทั้งงานภาพและวิดีโอ และที่สำคัญ แค่ถือก็ดูดีแล้ว ต้องโดน Fujifilm X-T30 ตัวนี้ที่เกิดมาเพื่อคุณเลยครับ ด้วยสเปคที่เหมือนก๊อบปี้จากกล้องตัวท็อปอย่าง Fujifilm X-T3 ทำให้ทั้งด้านภาพนิ่งและวิดีโอ X-T30 ตัวนี้เอาอยู่หายห่วง แถมยังมีดีไซน์ที่สวยงามละม้ายคล้ายกล้องฟิล์มดั้งเดิมที่แค่ถือก็ดูหล่อแล้ว ทำให้ X-T30 ตัวนี้ได้ฉายาจาก Fuji ว่าเป็น Little Giant หรือ เจ้ายักษ์จิ๋วเลยทีเดียว

Fujifilm X-T30 มาพร้อมเซนเซอร์ X-Trans IV ขนาด APS-C ความละเอียด 26.1 ล้านพิกเซล พร้อมระบบโฟกัสแบบ Hybrid Auto Focus ซึ่งความละเอียดและระบบโฟกัสนี้เทียบเท่ากับรุ่นเรือธงอย่าง X-T3 เลยครับ แถมยังพัฒนาในเรื่องการจัดการ Noise ในที่แสงน้อย และยังมีฟีเจอร์ Film Simulation ทำให้ภาพที่ออกมามีกลิ่นอายสไตล์กล้องฟิล์ม เรียกได้ว่างานภาพไว้ใจได้หายห่วง

ส่วนด้านวิดีโอ X-T30 ตัวนี้สามารถถ่ายได้ความละเอียดสูงสุด 4K ทำงานได้ดีกับระบบโฟกัสใบหน้าและดวงตา ซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าอยากให้ใบหน้าไหนในเฟรมเป็นหน้าหลัก เพื่อเพิ่มความแม่นยำให้โฟกัสได้อีกด้วย แต่เสียดายที่ X-T30 ไม่สามารถฟลิปหน้าจอมาด้านหน้าได้ ทำให้ไม่เหมาะกับการถือถ่ายเซลฟี่ แต่นอกเหนือจากข้อนี้ Fujifilm X-T30 เป็นกล้องที่น่าใช้เป็นอย่างมากครับ

Lumix G9 คือกล้องที่ Panasonic ส่งมาลุยตลาด Mirrorless ระดับกลาง-สูง โดยวางให้เป็นกล้องภาพนิ่งสำหรับมืออาชีพ เรื่องภาพนิ่งไว้ใจ Panasonic ได้เลยครับ เพราะเขาจัดสเปคมาให้เต็มที่ เริ่มที่เซนเซอร์เป็นแบบ Live MOS Micro Four-Third ความละเอียด 20.4 ล้านพิกเซล ที่ไม่มี Low-Pass Filter ทำให้ภาพที่ถ่ายมีความคมชัดยิ่งขึ้น พร้อมระบบโฟกัสแบบ DFD (Depth from Defocus) สามารถโฟกัสอัตโนมัติได้เร็วถึง 0.04 วินาที และยังมีความพิเศษที่สามารถ ถ่าย 6K Photo ได้ ทำให้สามารถถ่ายกีฬา นก หรืออะไรก็ตามที่เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงได้สบาย แถมบอดี้กล้องยังมาพร้อม Weather Seal ป้องกันน้ำ ฝุ่นละออง ใช้นอกสถานที่ได้แบบถึงไหนถึงกันเลยครับ

ส่วนเรื่องวิดีโอ แม้จะไม่เท่ากับตัวเรือธงด้านวิดีโออย่าง Panasonic Lumix GH5 แต่ Lumix G9 ก็ถ่ายวิดีโอได้ในระดับดีไม่หยอกเลยครับ โดยสามารถถ่ายวิดีโอได้ความละเอียดสูงสุด 4K 60เฟรม/วินาที แต่น่าเสียดายที่ Panasonic ไม่ได้ให้ฟีเจอร์ Slow Motion มาด้วย แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้วโดยใครที่กำลังมองหากล้องมือโปรสำหรับถ่ายภาพ Lumix G9 ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเป็นอย่างมากเลยครับ

ถ้าคุณชอบดีไซน์ดั้งเดิมของกล้องฟิล์ม แต่ก็รักความสะดวกสบายของกล้อง Mirrorless คุณไม่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งอีกแล้วครับ เพราะ Fujifilm X-Pro3 ตัวเดียว ให้คุณได้ทั้ง ดีไซน์แบบกล้องฟิล์มทั้งด้านหน้าด้านหลัง และความสะดวกสบายใช้ง่ายของกล้อง Mirrorless แค่พกกล้องตัวนี้ไว้ติดตัว ก็หล่อเท่แบบคูล ๆ ได้เลยครับ

ด้านหน้าของตัวกล้อง X-Pro3 มีการออกแบบสไตล์ Rangefider โดยใช้วัสดุทนทานสูงอย่างไทเทเนี่ยมจับคู่กับแมกนีเซียมอัลลอย เพื่อให้อารมณ์เหมือนกล้องฟิล์มเป๊ะ ๆ แล้ว ส่วนด้านหลังกล้องตรงที่เป็นหน้าจอ X-Pro3 ได้เปลี่ยนให้กลายเป็นหน้าจอขนาด 1.28 นิ้ว เพื่อจำลองให้เหมือนช่องใส่กระดาษกล่องฟิล์มอีกด้วย แต่หน้าจอเดิมของ X-Pro3 ก็ไม่ได้ตัดทิ้งนะครับ เพราะ Fujifilm ออกแบบมาให้ซ่อนอยู่ด้านหลัง สามารถฟลิปออกมาใช้งานได้ตามปกติ เรียกได้ว่าออกแบบได้ “ถึง” อารมณ์กล้องฟิล์มแบบสุด ๆ เลย

ส่วนระบบภายใน X-Pro3 ได้ใช้เซนเซอร์ X-Trans CMOS 4 ขนาด APS-C ที่ความละเอียดมากถึง 26.1 ล้านพิกเซล ไม่ว่าจะถ่ายรูปมุมไหนก็ได้ความคมชัด สวยแบบเรโทร และมาพร้อม Film Simulation ที่ทำงานร่วมกับ Grain Effect เพื่อจำลองให้ภาพที่ถ่ายคล้ายภาพจากกล้องฟิล์มมากที่สุด ถือเป็นกล้องที่สร้างมาเพื่อคนที่รักกล้องฟิล์มอย่างแท้จริงเลยครับ

Sony A7R IV คือ กล้อง Mirrorless Full Frame ที่ Sony ส่งมาลุยในตลาดกล้องภาพนิ่งระดับท็อป ที่รับรองว่าตากล้องมืออาชีพทุกคนต้องร้อง “ว้าว” เมื่อได้ยินสเปกเลยครับ เริ่มที่ภายนอก A7R IV ทำจากแมกนีเซียมอัลลอย ช่องการเชื่อมต่อให้มาครบ ทั้งไมค์ หูฟัง รวมถึง HDMI และ UBS Type C สำหรับการส่งข้อมูล มีช่องใส่เมมโมรี่การ์ด 2 ช่อง โดยทุกช่องเชื่อมต่อมีซีลป้องกันน้ำ – ฝุ่น ที่พัฒนาขึ้นจากรุ่นก่อน ๆ สามารถใช้งานกลางแจ้งได้สบายแบบไม่ต้องกังวล

ส่วนภายใน A7R IV มาพร้อมเซนเซอร์แบบ Exmor R BSI CMOS ขนาด Full Frame ความละเอียด 61.2 ล้านพิกเซล จะถ่ายวิว ถ่ายเมือง หรือภาพที่ต้องการความละเอียดสูง ๆ ได้สบายหายห่วง แถมถ้ายังละเอียดไม่สะใจ A7R IV มาพร้อมฟีเจอร์ Pixel Shift ที่จะช่วยให้ภาพที่ออกมา มีความละเอียดถึง 240 ล้านพิกเซล! ชัดเต็มตา สะใจ Serious Photographer เลยทีเดียว

แม้จะบอกว่าตัวเองเป็นกล้องสายภาพนิ่ง แต่ด้านวิดิโอ A7R IV ก็ให้สเปกมาเหลือ ๆ ครับ โดยสามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุด 4K แบบ HDR แถมมีกันสั่นในบอดี้ 5 แกน ยิ่งทำงานร่วมกับระบบโฟกัสสุดเทพของ Sony อย่าง Eye AF Tracking แล้ว รับรองว่าไม่มีหลุด แถม Sony ยังทำการเพิ่มความสามารถเพื่อเอาใจคนรักสัตว์ ด้วยฟีเจอร์โฟกัส Animal Eye AF Tracking รับรองว่าเหล่าทาสหมา ทาสแมวถูกใจแน่นอน ใช้ได้ทุกงาน ตั้งแต่งานระดับลง Youtube ไปจนถึงโฆษณาฉายบนโทรทัศน์กันเลยทีเดียว เรียกได้ว่าจะภาพนิ่งหรือวิดีโอ A7R IV ตัวนี้ตัวเดียวก็เอาอยู่ครับ

NIKON Z50 คือ กล้อง Mirrorless ในตลาดระดับเริ่มต้นตัวแรกของ Nikon ซึ่งเหมือนทาง Nikon จะยังไม่ชินกับการทำกล้องตัวเริ่มต้น เลยจัดหนักจัดเต็มอัดความสามารถมาเต็มที่ซะจนเหมือนเอากล้องระดับท็อปของตัวเองอย่าง NIKON Z6 มาย่อส่วนแล้วเปลี่ยนชื่อเลยครับ ต่างกันตรงที่น้ำหนักเท่านั้น Z50 ใช้เซนเซอร์ APS-C ความละเอียด 20.9 ล้านพิกเซล สามารถถ่ายภาพต่อเนื่องได้สูงสุด 11 ภาพ / วินาที มาพร้อมระบบโฟกัสแบบ Hybrid AF มีจุดโฟกัสจำนวน 209 จุด ความสามารถด้านภาพนิ่งนี้เรียกได้ว่าเทียบเท่ากับกล้อง DSLR ตัวฮิตช่างภาพอย่าง Nikon D500 เลยครับ

ส่วนงานด้านวิดีโอ Z50 สามารถถ่ายวิดิโอได้สูงสุดถึง 4K และถ่าย Full HD ได้ถึง 120 เฟรม / วินาที เอาไปทำ Slowmotion ได้สวย ๆ เลย แถมมีช่องต่อไมค์มาพร้อม สายวิดีโอต้องชอบ แต่น่าเสียดายที่ Z50 มาพร้อมจอแบบฟลิปลงด้านล่าง ทำให้เวลาใช้งานจริงอาจติดกับขาตั้งกล้องได้ แถมไม่มีกันสั่นในบอดี้มาด้วย ทำให้อาจไม่เหมาะกับสาย Vlog เดินถ่ายเท่าไหร่นัก แต่ถ้าตั้งกล้องถ่ายนิ่ง ๆ รีวิวของ เช่น Beauty Blogger ถือว่าเหมาะอย่างยิ่งเลยครับ

ถ้าคุณกำลังมองหากล้อง Mirrorless ที่ใช้เซนเซอร์ Full Frame มีน้ำหนักเบา พกพาสะดวก และที่สำคัญ ราคาต้องน่าคบหาด้วย Canon EOS RP ตัวนี้ คือกล้องที่คุณกำลังตามหาเลยครับ เพราะกล้อง EOS RP อัดแน่นเรื่องความสามารถแบบจัดเต็ม ครบทั้งเซนเซอร์ขนาด Full Frame แบบ Dual Pixel CMOS ความละเอียด 26.2 ล้านพิกเซล ที่จับโฟกัสไวถึง 0.05 วินาที ให้ถ่ายในที่แสงน้อยก็ยังไหว เพราะมีฟังก์ชันปรับแสงให้อัตโนมัติ หรือจะถ่ายไฟล์ Raw ไปปรับแสง EOS RP ก็มี C-Raw ที่บีบอัดให้มีขนาดเล็กลงกว่า Raw แบบเดิมถึง 40%

และสามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ 4K ไม่น้อยหน้าแบรนด์อื่น ๆ เพิ่มเติมทั้งช่องเชื่อมต่อหูฟังและไมค์โครโฟน ถึงแม้ว่าให้มาจัดเต็มขนาดนี้ แต่ตัวบอดี้รวมแบตเตอรี่ ก็ยังน้ำหนักเบาเพียง 485 กรัม เบาแบบที่ถือไปได้เรื่อย ๆ จนอาจจะลืมว่าที่อยู่ในมือ คือ กล้อง Full Frame ได้เลย เป็นกล้องที่เบาทั้งตัวบอดี้ เบาทั้งไฟล์ เบาทั้งราคาเลยครับ อีกทั้งด้วยราคาที่ตอนนี้ อยู่ที่ประมาณ 3 หมื่นกลาง ๆ เท่านั้น! เหมาะมากกับเป็นกล้อง Mirrorless Full Frame เริ่มต้น สำหรับมือใหม่หัดลองหลาย ๆ คนเลยครับ

ชื่อ OM-D E-M5 คือ ซีรีส์กล้อง Mirrorless ตัวรองท็อป จากค่าย Olympus ที่จัดเต็มทั้งเรื่องความทนทาน การถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอ แต่สิ่งที่ทำให้ OM-D E-M5 Mark III โดดเด่นจากกล้องตัวท็อปแบรนด์อื่น ๆ คือเป็นกล้อง Mirrorless ที่น้ำหนักเบาจนกล้อง Compact แท้ ๆ มีหนาวเลยครับ บอดี้ของ OM-D E-M5 Mark III ออกแบบมาให้มีขนาดเล็กกะทัดรัด เพิ่มที่วางนิ้วหลังกล้องมาเพื่อให้หยิบจับสะดวกยิ่งขึ้น พร้อม Weatherproof ป้องกันฝุ่น ละอองน้ำ และสภาพอากาศที่เย็นจัดระดับติดลบ ใช้งานสมบุกสมบันได้สบาย

ส่วนภายใน OM-D E-M5 Mark III ใช้เซนเซอร์ M4/3 ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมโหมด Pro Capture ช่วยจับภาพก่อนและหลังกดชัตเตอร์ ให้คุณไม่พลาดทุกช็อตเด็ดสำคัญ และยังมี Scene Modes ช่วยให้มือใหม่ถ่ายภาพแบบต่าง ๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้นอีกด้วย ด้านวิดิโอ OM-D E-M5 Mark III สามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุด 4K มาพร้อมกันสั่นในบอดี้ 5 แกน ช่องเสียบไมค์ก็มี สเปกครบ ทนทาน จัดเต็ม เหมาะกับการใช้งานแทบทุกรูปแบบขนาดนี้ แต่บอดี้ของ OM-D E-M5 Mark III มีน้ำหนักแค่ 369 กรัมเท่านั้น ! ถือเป็นกล้องเทพสเปกบนที่เบาพอ ๆ กับกล้องรุ่นเริ่มต้นของบางแบรนด์เลยครับ

ด้วยความที่กล้อง Mirrorless แต่ละตัวต่างก็มีจุดเด่นจุดด้อยที่แตกต่างกันออกไป แล้วอย่างนี้ เราจะเลือกกล้อง Mirrorless อย่างไรให้เหมาะกับตัวเองดี ถ้าเพื่อน ๆ มีคำถามนี้ เราขอแนะนำวิธีการเลือกกล้อง Mirrorless เพื่อช่วยคุณตัดสินใจนะครับ

แน่นอนว่าแบรนด์แต่ละแบรนด์ก็มีจุดแข็งที่ต่างกันออกไป ทั้งเรื่องของเทคโนโลยี ราคา ไปจนถึงบริการหลังการขาย งั้นเรามาดูกันดีกว่าว่าแต่ละแบรนด์มีข้อดีอะไรกันบ้าง

• เป็นแบรนด์ใหญ่จากกล้อง DSLR ที่ลงมาทำ Mirrorless ใครที่ใช้ DSLR ค่ายนี้อยู่แล้วจะรู้สึกคุ้นเคย อุปกรณ์เสริมมีเยอะ ที่สำคัญ มีเลนส์ให้เลือกเยอะมาก

• อีกแบรนด์ใหญ่จากกล้อง DSLR ที่มาทำ Mirrorless ด้วยเช่นกัน โดยแบรนด์นี้ขนเทคโนโลยีจาก DSLR มาใส่ใน Mirrorless ของตัวเองแบบจัดเต็ม อุปกรณ์เสริมมีเยอะไม่แพ้ตัวด้านบน

• ดีไซน์สวย เป็นเอกลักษณ์ มีฟิลเตอร์แต่งภาพหลากหลายแบบ สามารถแต่งภาพแล้วอัปโหลดขึ้น Social ได้เลย ที่สำคัญ Skin-tone ของค่ายนี้ฟรุ้งฟริ้งมาก จนสาว ๆ หลายคนยกให้เป็นอันดับ 1 เลย

• เด่นเรื่องกันสั่น ทั้งบอดี้และเลนส์มีน้ำหนักเบา เนื่องจากใช้เซนเซอร์ Micro Four-Third สามารถใช้เลนส์ร่วมกับ Olympus ได้

• None น้ำหนักเบา แชร์เลนส์ร่วมกับ Panasonic ได้ ถ้าถ่ายภาพในที่แสงเพียงพอ จะได้ภาพที่คุณภาพใกล้เคียงกับกล้อง Full Frame เลย

เนื่องจากกล้องแต่ละรุ่นก็มีขนาดเซนเซอร์ที่ต่างกัน ซึ่งขนาดของเซนเซอร์นี้ก็มีผลต่อภาพและการใช้งานด้วยเช่นกัน โดยเซนเซอร์แต่ละแบบมีคุณสมบัติต่างกันดังนี้

Full Frame คือ เซนเซอร์ที่มีขนาด 36 x 24 มม. เท่ากับแผ่นฟิล์มในยุคกล้องฟิล์ม ซึ่งเป็นเซนเซอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ทำให้ได้ภาพที่มุมกว้างและคุณภาพสูงที่สุด ไม่ต้องถอยไกลก็ได้ภาพครบทุกมุม สามารถจัดการ Noise ได้ดี ถ่ายในที่มืดได้สบาย และได้ภาพที่ได้มี Dynamic Range ที่ชัดเจนกว่า ทำหน้าชัดหลังเบลอได้เยี่ยมกว่าเซนเซอร์ชนิดอื่น ๆ ใครที่คิดว่าตัวเองมาสายภาพนิ่งแน่ ๆ แล้ว ถ้าเลือกกล้องที่มีเซนเซอร์ Full Frame รับรองจบครับ

APS-C คือ เซนเซอร์ที่มีขนาดเล็กกว่า Full Frame อยู่ 1.5 และ 1.6 เท่า เมื่อใช้กล้อง APS-C ภาพด้วยเลนส์ระยะเดียวกันกับ Full Frame ภาพที่ได้จะถูกซูมครอปเข้าไปจาก Full Frame 1.5 หรือ 1.6 เท่า ทำให้หากต้องการถ่ายภาพให้มุมกว้างเท่ากับ Full Frame จะต้องถอยไกลซักนิด แต่ก็ได้ข้อดีที่ขนาดของกล้อง APS-C จะมีขนาดเล็กลง พกพาง่าย และมีราคาถูกลง ซึ่งสำหรับการใช้งานทั่วไป ขนาด APS-C ก็เพียงพอแล้วครับ

Micro Four-Third เป็นเซนเซอร์ที่มีขนาดเล็กลงมาจาก APS-C อีกที โดยมีระยะครอปจาก Full Frame 2 เท่า หมายความว่าหากใช้เลนส์ระยะเดียวกับ Full Frame กล้อง Micro Four-Third จะต้องถอยไกลกว่ากล้อง Full Frame ถึง 2 เท่าเพื่อให้ได้ภาพที่มุมกว้างเท่ากัน โดยข้อดีของ กล้อง Micro Four-Third ก็คือมีน้ำหนักที่เบา ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องความร้อน

กล้องที่ดีที่สุด คือ กล้องที่ตรงกับการใช้งานของเราที่สุด งั้นเรามาดูกันดีกว่าว่าถ้าเรามีจุดประสงค์ในการใช้งานแบบนี้ เราควรเลือกกล้องที่มีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง

กล้อง Mirrorless สำหรับถ่ายภาพระดับมืออาชีพ : หากเราต้องการกล้องสำหรับถ่ายภาพระดับมืออาชีพ เราควรเลือกกล้องที่มีเซนเซอร์ขนาด Full Frame และระบบโฟกัสที่ตอบสนองไว ความเร็วชัตเตอร์สูง ๆ เพื่อให้สามารถใช้งานได้หลากหลายที่สุด และได้ภาพที่มีคุณภาพดีที่สุด รวมทั้งควรเลือกกล้องที่มีกันสั่นในตัว และบอดี้ทำจากวัสดุที่แข็งแรง พร้อมเคลือบ Weather Shield ไว้ เพื่อให้สามารถใช้งานนอกสถานที่ได้อย่างสมบุกสมบัน ไม่ต้องห่วงเรื่องฝุ่นหรือฝน

กล้อง Mirrorless สำหรับถ่ายวิดีโอ & Vlog : หากเราต้องการกล้องสำหรับถ่ายวิดีโอหรือ Vlog เราควรดูกล้องที่สามารถถ่ายวิดีโอได้อย่างต่ำ Full HD และต้องมีช่องเสียบไมโครโฟนแยก จะช่วยแก้ปัญหาเสียงเบา และเสียงรบกวนรอบด้านขณะถ่ายคลิป พร้อมเลือกจอที่สามารถฟลิปมาด้านหน้าได้ โดยแนะนำให้เลือกรุ่นที่จอฟลิปมาทางด้านข้างของตัวกล้องนะครับ เพราะมีบางรุ่นที่จอฟลิปมาทางด้านบน ซึ่งจะชนกับช่องเสียบไมค์พอดี นอกจากนั้น ควรเลือกกล้องที่มีกันสั่นในตัว เผื่อในกรณีที่เราเดินถ่ายนอกสถานที่ด้วยนะครับ ภาพที่ได้จะได้สมูธลื่นไหล ไม่ดูเวียนหัว ถ้าไม่เลือกกล้องที่มีกันสั่นก็ควรกันงบไว้ซื้อไม้กันสั่นแยกต่างหากด้วยครับ

กล้อง Mirrorless สำหรับมือใหม่หัดถ่ายภาพ : หากเราต้องการกล้องสำหรับมือใหม่ใช้หัดถ่ายภาพ เราควรเลือกกล้องที่มีฟีเจอร์อำนวยความสะดวกในการถ่าย และไม่ค่อยมีความซับซ้อนในการใช้งาน เช่น ตำแหน่งปุ่มกดใช้งานได้ง่าย หรือมีจอสัมผัส สำหรับคนที่ไม่ชอบความยุ่งยากในการใช้งานแบบขั้นสุด เราแนะนำให้เลือกจอระบบสัมผัสที่สามารถกดแล้วโฟกัสได้เลย หรือมีโหมดถ่ายภาพหลายสไตล์ให้เลือกใช้แบบอัตโนมัติ

กล้อง Mirrorless สำหรับพกพา : หากเราต้องการกล้องสำหรับพกพาไปไหนมาไหน แน่นอนว่าสิ่งแรกที่เราต้องดูก็คือ น้ำหนักของกล้อง เราควรเลือกกล้องที่มีน้ำหนักเบาและมีขนาดเล็กเพื่อให้พกพาได้สะดวก โดยแนะนำให้เลือกกล้อง Mirrorless ที่ใช้เซนเซอร์ APS-C หรือ Micro Four-Third เนื่องจากส่วนมากจะมีขนาดเล็กกะทัดรัดและน้ำหนักเบา ที่สำคัญควรเช็กน้ำหนักของเลนส์ที่เราจะซื้อเพิ่มด้วย เพราะน้ำหนักเลนส์ที่ใช้กับเซนเซอร์ APS-C จะหนักกว่าเซนเซอร์ Micro Four-Third เพราะมีขนาดใหญ่กว่านั่นเอง

เมื่อมีกล้องแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ เลนส์และอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ครับ เพราะเลนส์แต่ละตัวมีวัตถุประสงค์ในการใช้งานที่ต่างกันออกไป บางเลนส์เหมาะสำหรับถ่ายวิว บางเลนส์เหมาะสำหรับถ่ายภาพ Portrait ซึ่งเลนส์แต่ละตัว ของแต่ละแบรนด์ก็มีราคาที่ถูก – แพงแตกต่างกันออกไป บางแบรนด์สามารถใช้เลนส์ร่วมกับแบรนด์อื่นได้ เช่น Panasonic กับ Olympus รวมถึงอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ เช่น เคส กระเป๋าใส่กล้อง ไฟแฟลช ดังนั้นก่อนจะฟันธงตัดสินใจซื้อกล้อง Mirrorless แบรนด์ไหน ให้แอบไปดูราคาของเลนส์ และอุปกรณ์เสริมของแบรนด์นั้น ๆ ไว้ด้วยนะครับ

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงได้เปรียบเทียบ วิเคราะห์ และคงมีกล้อง Mirrorless ในดวงใจกันแล้วสินะครับ กล้องบางรุ่นเด่นเรื่องภาพนิ่ง แต่ไม่เด่นเรื่องวิดีโอ กล้องบางรุ่นเด่นเรื่องวิดีโอ แต่ไม่เด่นเรื่องภาพนิ่ง กล้องบางรุ่นเด่นทั้งวิดีโอและภาพนิ่ง แต่มีน้ำหนักมากจนพกพาลำบาก เรียกได้ว่าแต่ละรุ่นก็มีข้อดีข้อด้อยต่างกันออกไป

ดังนั้นก่อนที่เราจะเลือกซื้อกล้อง Mirrorless ซักตัว เราควรสำรวจความต้องการของเราก่อนว่า เราจะซื้อกล้องตัวนี้ไปใช้งานประเภทไหน และคุณสมบัติไหนที่เราต้องการบ้าง เพราะเราคงหากล้องที่ “ดีที่สุด” ไม่ได้ แต่เราหากล้องที่ “เหมาะกับเราที่สุด” ได้ครับ